
หากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวยุโรปช่วงคริสต์มาสหรือได้ชมภาพยนตร์ก็จะเห็นการตกแต่งบ้านเรือนที่มีกลิ่นอายแห่งความสนุกสนานรื่นเริงมีชีวิตชีวาด้วยแสงไฟและของตกแต่งมากมายหลายชนิดรูปร่างต่าง ๆ
สำหรับหัวใจของเทศกาลนี้ จริงๆ แล้วได้ถูกใส่ไว้ในสัญลักษณ์ของสิ่งที่ตกแต่ง ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์ล้วนมีเรื่องราวเก่าแก่หลายศตวรรษและประเพณีอันทรงคุณค่า ตั้งแต่ต้นคริสต์มาสสูงตระหง่านที่ประดับประดาด้วยแสงไฟระยิบระยับ ไปจนถึงถุงเท้ายาวแปลกตาที่แขวนข้างเตาผิง สัญลักษณ์เหล่านี้ เชื่อมผู้คนเข้ากับเรื่องราวแห่งความหวัง ความรัก และความปรารถนาดี Thai Tour UK เชิญทุกท่านมารู้กันกว่าว่าสัญลักษณ์ต่างๆ มีความหมายอย่างไร
ก่อนอื่นเลยสำหรับใครที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนก็จะต้องเล่าก่อนว่าวันคริสต์มาสนี้เป็นวันเกิดชองพระเยซูที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ส่งลงมาเกิดเพื่อไถ่บาปให้คนที่เชื่อในพระเจ้า วันเกิดนั้นที่ภายหลังตั้งว่าเป็นวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เมื่อกว่า 2000 ปีก่อนตามพระคัมภีร์พระเยซูก็ถือกำเนิดขึ้นในโรงนาในเมืองเบธเลเฮม Bethlehem ที่ตอนนี้คือเมืองทางตอนใต้ของเมืองเยรูซาเลม ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล
ตอนเกิดก็มีดาวที่มีแสงสวางสวยงามปรากฏเหนือเมืองเบธเลเฮม (Star of Bethlehem) และเมื่อนักนักปราชญ์ (Wise men) เห็นดาวที่สวยงามนั้นก็รู้ว่าผู้มีบุญบารมีมาเกิด ส่วนอีกด้านคือคนเลี้ยงแกะที่อาจจะไม่ค่อยสังเกตุดาวเท่าไหร่ จึงต้องมีทูตสวรรค์ (Angle) ไปบอกข่าวอันประเสริฐว่าพระผู้ช่วยให้รอด aka พระเยซูนั้นถือกำเนิดขึ้นแล้ว จากนั้นทั้งนักปราชญ์และคนเลี้ยงแกะก็ได้ไปหาทารกเยซูที่โรงนานั้นเอง นักปราชญ์นั้นไม่ได้มามือเปล่า ได้มีของขวัญมอบให้กับทารกด้วยคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ (กำยานและมดยอบคือของหอมประมานว่าอโรมาเธอราพี) สมัยนั้นยังไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป เชื่อเหลือเกินว่าถ้ามี ปราชญ์จะต้องเอาติดไปด้วยอย่างแน่นอน (หาก Thai Tour UK บอกเรื่องราวไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาก็ต้องขออภัย)
เรื่องราวก็ประมานนี้ มาดูสัญลักษณ์ในการใช้ตกแต่งในปัจจุบันกันเลย
1. ดวงดาว (Star of Bethlehem) นั้นก็คือดวงดาวที่นักปราชญ์เห็นและนำทางปราชญ์ไปที่โรงนานั้นเอง และยังมีความหมายถึงความหวัง และแสงสว่างของพระคริสต์

cr: canva
2. นางฟ้า หรือ ทูตสวรรค์ (Angels) ก็คือผู้ส่งข่าวดีให้กับคนเลี้ยงแกะ และมีความหมายถึง ทูตแห่งข่าวดีและนำสันติสุขสู่มนุษย์

cr: canva
3. ฉากการประสูติในโรงนา (The Nativity Scene) ก็แสดงตรงตัวว่าเป็นวันที่พระเยซูถือกำเนิด ที่พระเยซูเกิดในโรงนาบ้างบอกว่า เพราะทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้ (ถ้าเกิดเป็นเจ้าชาย คนธรรมดาก็คงเข้าถึงไม่ได้)

cr: canva
4. ระฆัง (Bells) ส่วนใหญ่ระฆังจะหมายถึงการเฉลิมฉลอง และสำหรับโอกาสคริสต์มาสนี้ ระฆังคือความยินดี การประกาศการประสูติของพระเยซู และการทรงเรียกให้นมัสการ

cr: canva
5.ต้นคริสต์มาส (Christmas Trees) ต้นคริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต แสงสว่าง และความหวังในช่วงฤดูหนาว ใบที่เขียวชอุ่มตลอดปีเป็นตัวแทนของชีวิตนิรันดร์ ในขณะที่แสงไฟและเครื่องประดับเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและการเฉลิมฉลองของฤดูกาล ดาวหรือทูตสวรรค์ที่มักวางไว้บนยอดต้นไม้หมายถึงดาวแห่งเบธเลเฮมที่นำทางนักปราชญ์ไปยังสถานที่ประสูติของพระเยซู

cr: canva
6.กล่องของขวัญ (Gifts) หมายถึงของขวัญที่นักปราชญ์มอบให้กับพระกุมารเยซู ยังสื่อถึงจิตวิญญาณแห่งความมีน้ำใจและความรักในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอีกด้วย

cr: canva
7. Candy Canes คือ ตัวตกแต่งที่เหมือนสระ อา หรือบางทีเป็นขนมหวาน คือรูปไม้ท้าวของคนเลี้ยงแกะที่ได้ไปเยี่ยมพระเยซูจากคำบอกของทูตสวรรค์นั้นแหละ ส่วนสีขาวคือความบริสุทธิ์และสีแดงคือความเสียสละของพระเยซู

cr: canva
8. พวงหรีด (Wreaths) ที่เป็นวงกลมมักจะทำจากกิ่งก้านของต้นไม้ที่เขียว เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ รูปร่างทรงกลมแสดงถึงธรรมชาติอันไม่สิ้นสุดของความรักของพระเจ้า

cr: canva
9. เทียน (Candles) นั้นกึคือความสว่างที่พระเยซูนำมาสู่โลก สมัยก่อนคงยังไม่มีไฟวิ่ง ๆ

cr: canva
10. ต้นพอยน์เซตเทีย (Poinsettia) หรือดอกคริสต์มาส หรือบางทีเรียกว่า ต้นสองฤดู มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกากลาง ในเรื่องราวที่ทำให้ต้นนี้มาเชื่อมโยงกับคริสต์มาสคือการที่เด็กหญิงคนชื่อ Pepita ที่ไม่มีเงิน จึงนำได้แค่หญ้าที่มัดเป็นกำไปถวายพระเยซูในโบสถ์ในวันก่อนวันคริสต์มาส และขณะที่เดินผ่านทางเดินหญ้าก็ได้กลายเป็นดอก Poinsettia ที่มีสีแดงและเขียว และดอกนี้ก็กลายเป็น Flowers of the Holy Night

cr: canva
11. ฮอลลี่เบอร์รี่มีใบสีเขียวมันวาวและผลเบอร์รี่สีแดงสด (Holly Barries) – กล่าวกันว่าใบเต็มไปด้วยหนามเป็นตัวแทนของมงกุฎหนามที่พระเยซูทรงสวมใส่ระหว่างการตรึงกางเขน และผลเบอร์รี่สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือด ในบริบทนี้ ฮอลลี่ใช้สัญลักษณ์คู่ ซึ่งเป็นตัวแทนของทั้งคำสัญญาแห่งชีวิตใหม่และการเสียสละของพระคริสต์

cr: canva
12. สายรุ้ง และแมลงมุม (Tinsel and the Christmas Spider) – คือมีตำนานทางยุโรปตะวันออกเล่าว่า ณ บ้านหญิงม่ายแลลูก ๆ ที่ไม่มีเงินตกแต่งต้นคริสต์มาส และเหล่าเด็ก ๆ ก็เข้านอนแบบเศร้าๆ แมลงมุมในบ้านเลยสงสารและอยากช่วยตกแต่งต้นคริสต์มาส โดยสร้างใยสวยงามสีเงินตกแต่งต้นคริสต์มาส เป็นที่มาของสายรุ้งที่ตกแต่งช่วงคริสต์มาส
ตำนานแมงมุมคริสต์มาสมักถูกมองว่าเป็นเรื่องราวของพรที่คาดไม่ถึง และแนวคิดที่ว่าแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดก็สามารถมีส่วนร่วมในความสุขของฤดูกาลได้

cr: canva, Amazon
13 นกพิราบ Dove – นกพิราบ (น่าจะสีขาวแหละ) ซึ่งแต่เดิมเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีการอ้างอิงในเรื่องราวในพระคัมภีร์เรื่องเรือโนอาห์ โดยที่นกพิราบนำกิ่งมะกอกมาเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและการสิ้นสุดของน้ำท่วม การเชื่อมโยงกับสันติภาพนี้สอดคล้องกับข้อความแห่งไมตรีจิตและความเงียบสงบในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

cr: Canva
14 ถุงเท้าคริสต์มาส Christmas Stockings ตำนานเล่าว่าประเพณีการแขวนถุงเท้าข้างเตาผิงมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องราวของนักบุญ
นิโคลัส aka Santa Claus (ซานตาคลอส) ซึ่งว่ากันว่าเอาเหรียญใส่ในถุงเท้าของเด็กหญิงที่น่าสงสารสามคนที่พ่อไม่สามารถจะหาเงินได้เพียงพอในหน้าหนาว และเด็ก ๆ ก็ตากถุงเท้าหน้าเตาผิงช่วงกลางคืน

cr: Canva
15 ขนมปังขิง Gingerbread จริง ๆ แล้วต้นกำเนิดของขนมปังขิงอาจจะย้อนกลับไปได้ไกลกว่าพระเยซูเสียอีก แต่กลิ่นหอมอันอบอุ่นและเผ็ดร้อนของขนมปังขิงอาจจะเหมาะกับอากาศหนาวและสรรพคุณของขิงทำให้ขนมนี้ถูกกินในงานเฉลิมฉลองต่างๆ รวมถึงคริสต์มาส

cr: Canva
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดการตกแต่งขนมปังขิงเป็นรูปมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ประเพณีการสร้างหุ่นขนมปังขิงให้มีลักษณะคล้ายแขกคนสำคัญในศาลน่าจะมีส่วนทำให้ขนมปังขิงเชื่อมโยงกับโอกาสพิเศษต่างๆ รวมถึงคริสต์มาสด้วย และนี่เป็นที่มาของการทำขนมปังขิงเป็นรูปคล้ายคน
16 Christmas balls ลูกบอลกลมๆบนต้นคริสต์มาส ลูกบอลนี้เพิ่มมานิยมในสมัยศตวรรษที่ 19 จากเยอรมนีในตอนแรกเครื่องประดับนี้ทำจากแก้วและประดิษฐ์ด้วยมือและอาจจะวาดลวดลายต่างๆให้สวยงาม ลูกบอลคริสต์มาสทรงกลมเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเป็นนิรันดร์ และวงจรแห่งชีวิต

cr: Canva
17 ต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) ถ้าจะเชื่อมความโรแมนติกก็ต้องอันนี้แหละ เนื่องจากมิสเซิลโทจะบานสะพรั่งแม้ในฤดูหนาวที่หนาวเย็น เชื่อกันว่าผู้คนย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช ถือว่ามิสเซิลโทเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาและความอุดมสมบูรณ์ในด้านของการมีลูกหลานสืบสกุล (fertility) นอกจากนี้บางวัฒนธรรมยังเชื่อว่าไม้จำพวกกาฝากนี้สามารถป้องกันวิญญาณชั่วร้าย มีคุณสมบัติลึกลับและนำโชคลาภมาให้

cr: Canva
ประเพณีการจูบใต้มิสเซิลโทน่าจะมีต้นกำเนิดในอังกฤษ ตามธรรมเนียมแล้ว หากคู่รักยืนอยู่ใต้มิสเซิลโท ทั้งคู่จะต้องจูบกัน เชื่อกันว่าการจูบแต่ละครั้งจะนำโชคดีและคำสัญญาในการแต่งงาน ประเพณีนี้ได้กลายเป็นส่วนที่สนุกสนานและโรแมนติกของการเฉลิมฉลองคริสต์มาส
และนี่ก็เป็นสิ่งตกแต่งที่มีความหมายในช่วงเทศกาล
สำหรับใครที่อยากจะมาเที่ยวอังกฤษในช่วงคริสต์มาสก็สามารถติดต่อมาทาง Thai Tour UK ได้นะฮาฟ Merry Christmas และสวัสดีปีใหม่