มีใครเคยสงสัยบ้างไหมว่าฟุตบอลอังกฤษมันมีกี่การแข่งขัน ที่เคยได้ยินก็มีพวก The Premier League, The FA CUP และ UEFA เรามาดูกันว่ามันมีกี่ถ้วยกันแน่ และเรื่องราวของฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างไรบ้าง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วประเทศอังกฤษได้จัดตั้งสมาคมฟุตบอล The Football Association (FA) ขึ้นเมือปลายปี 1863 ตอนนี้ก็อายุประมาน 160 ปีแล้ว สมัยที่ก่อตั้งมันยังไม่มีสมาคมฟุตบอลของประเทศอื่น มันเลยชื่อว่า The FA. ในปัจจุบัน Prince William (เจ้าชายวิลเลี่ยม ดยุกแห่งเคมบริดจ์) เป็นประธานของสมาคม The FA นี้

ในไทยเองก็มีสมาคมฟุตบอลนะ ชื่อว่า Football Association of Thailand (สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์) ที่ก่อตั้งในปี 1916 ในสมัยของราชกาลที่ 6

กลับไปที่อังกฤษเมื่อมีสมาคมแล้วจะอยู่เฉย ๆ ก็คงไม่ได้ สมาคม The FA จึงได้จัด The FA Cup ขึ้นมาในปี 1871 ซึ่งถือเป็นการแข่งขันที่เก่าแก่ที่สุด คือประมานกว่า 150 ปี ณ ปัจจุบัน The FA Cup เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี โดยจะเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก

ในประเทศอังกฤษ ทีมฟุตบอลถ้าจริงจังหน่อย ก็จะมีการจดทะเบียนที่อยู่ใต้การดูแลของ The FA โดยจะแบ่งเป็นชั้น ๆ มี 20 ชั้น (Level)

  • ใน Level 1 ของ The FA เราจะเรียกทีมที่อยูใน ระดับนี้ว่า Premier League ที่จะมีทีมทั้งหมด 20 ทีมดัง ๆ เช่น Liverpool, Man U, Man City, Arsenal, Chelsea.
  • ใน Level 2 เราจะเรียกว่า EFL Championship จะเป็นทีมที่เคยได้ยินอย่างเช่น Cardiff City, Derby County, Leed United. ทุก ๆ ปี 3 จาก Level 1 – Premier League จะย้ายลงมาที่ Level 2 EFL Championship และ 3 ทีมจาก Level 2 จะ ขึ้นไปที่ Level 1
  • ใน Level 3 เราจะเรียกว่า EFL League One และ Level 4 เราจะเรียกชื่อมันว่า EFL League Two และ Level 5 ชื่อ National League.
  • Level ที่มากกว่า 6 ทีมก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ แต่ที่เล่นอาจจะเล่นด้วยหัวใจรัก

โดยการแข่งขัน The FA Cup จะเป็นการแข่งขันกันตั้งแต่ระดับ (Level) 1 ถึงระดับ 10 จากทั้งหมด 20 ระดับในสาระบบฟุตบอลของอังกฤษ มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ทั้งหมด 736 ทีมในฤดูกาล 2018-19 โดยขั้นตอนคือ ทีมที่อยู่ในชั้นที่ 5 ลงไปถึงขั้นที่ 10 จะแข่งกันเองก่อน จนเหลือ 32 ทีม และจากนั้น ทีมใน Level ที่ 3 และ 4 จะเข้ามารวมเล่น จากนั้นก็ตามมาด้วย Level 2 และ Level 1

ในสุดสัปดาห์แรกของเดือน มกราคมของทุกปี ก็จะเป็นการจัดการแข่งขันในรอบที่ 3 (Third Round) ที่จะเหลือทีมอยู่ 32 ทีม การแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ และ ชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นที่สนามกลางของประเทศ นั้นคือ Wembley Stadium ในลอนดอน ดังนั้นบอลนี้จะสามารถเริ่มติดตามกันในช่วงหลังปีใหม่ของทุกปี ไปจนถึงเดือน May ที่จะได้ผู้ชนะ

ในการแข่งขั้นนี้เปิดโอกาศให้ทีมที่มีชื่อเสียงน้อย ๆ ได้พบกับทีมที่มีความสามารถ ในระดับประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ก็มีแต่ทีมใหญ่ที่ได้รางวัล โดยในปี 2018-2019 ทีม Manchester City ได้ถ้วยนี้ไปครอง และทีมอย่าง Arsenal ได้ถ้วยนี้ถึง 13 ครั้ง ในการได้ชัยชนะในถ้วยนี้ถือว่าทีมนั้นเก่งกว่าทุกทีมในเกาะอังกฤษแห่งนี้

การแข่งขันในช่วงปี 2015-2019 ได้รับการสนับสนุนโดย สายการบิน Emirates ดังนั้นใน Logo ของการแข่งขันนี้จึงมี Logo ของสายการบิน Emirate เคียงข้างอยู่ด้วย และคาดว่า Emirates จะอยู่บน Logo ไปจนถึงปี 2024

การแข่งขันที่จะตามมาของ The FA Cup คือ FA Community Shield หรือเรียกอีกชื่อว่า Charity Shield โดยการแข่งขั้นคู่นี้จะนำทีมที่ชนะจาก The FA Cup มาเจอกับ ทีมที่ชนะ Premier League แต่ในกรณีที่เป็นทีมทีมเดียวกัน ก็จะเลือนไปเจอกับทีมที่เป็นที่ 2 ของ Premier League โดยของรางวัลจะเป็น Shield หรือ โล่ ก็ตามชื่อ Charity รายได้จากการแข่งขันจะถูกแบ่งไปให้กับองค์กรการกุศล ส่วนกำไรจากใบเสร็จรับเงินที่ประตูทางเข้า และหนังสือการแข่งขันจะถูกส่งไปให้ 124 ทีมฟุตบอลที่เข้าร่วม The FA Cup ที่เข้ารอบ First round เป็นต้นไป FA Community Shield นี้ได้จัดขึ้นมาแล้วว่า 111 ปีโดยจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1908 โดยปรกติก็จะเตะกันตอนต้นเดือนสิงหาคม ของทุกปีที่สนาม Wembley ในลอนดอน

Premier League อย่างที่ทราบกันด้านบนว่าอยู่ใน Level 1 ของฟุตบอลอังกฤษเป็นที่นิยมที่สุดของคนอังกฤษ คนไทย และคนทั่วโลก แค่ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดทั้งในและนอกประเทศอังกฤษก็มีมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านปอนด์ โดยจะเปิดฤดูกาลในเดือนสิงหาคมจนถึงพฤษภาคมในปีถัดไป ส่วนใหญ่แล้วก็จะแข่งกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์ต่อนบ่าย ๆ ถึงเย็นตามเวลาในประเทศอังกฤษ

ทีมที่เข้าร่วมประกอบไปด้วย 20 ทีมที่คนไทยรู้จักกันดี เช่น Man U, Liverpool, Arsenal อย่างที่กล่าวไว้ด้านบน 2 ทีมสุดท้ายก็จะลงไป Level 2 และ 2 ทีมที่เก่งที่สุดจาก Level 2 ก็จะขึ้นชั้นมาใน Level 1 การแข่งขันจะเป็นการเจอกันหมดของ 20 ทีมเป็นจำนวน 2 ครั้ง เช่น Man U ก็จะเล่นกับ Liverpool 2 ครั้ง สมมติว่า ครั้งแรกเล่นที่สนาม Liverpool ที่ชื่อว่า Anfield อีกครั้งก็จะเล่นที่ Old Trafford ของ Man U ทีมที่ไปเล่นสนามอีกฝั่งเรียกว่า ทีมเยือน ส่วนทีมที่เปิดสนามรอรับการมาเยือนก็จะเรียกว่าทีมเจ้าบ้าน หรือทีมเหย้า (มาจากคำว่า เหย้าเรือน – อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน) ดังนั้นแต่ละทีมก็จะได้เล่น 38 ครั้ง

คำว่า Premier League นี่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1992 ที่ก่อตั้งมาพร้อมกับการถ่ายทอดสดทางทีวี เรื่องก็มีอยู่ว่าช่วง 1980s มันเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ เพราะความห่วยของสนามฟุตบอลเอง และการมีกองเชียร์หัวรุนแรงที่เรียกว่า hooligan สร้างความไม่อยากไปดูฟุตบอลที่สนามของคนทั่วไป ในปี 1990 Managing Director ของ London Weekend Television ที่ชื่อว่า Greg Dyke จากช่อง ITV ได้ประชุมกับ 5 ทีมใหญ่ของอังกฤษ ณ ขณะนั้น คือ Man U, Liverpool, Tottenham, Everton และ Arsenal ระหว่างการทานมื้อค่ำ Greg ได้เสนอแนวความคิดที่จะถ่ายทอดทีวีการแข่งขันระหว่างทีมใหญ่เท่านั้นและจะแบ่งค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดให้กับทีมเหล่านั้น ซึ่งเป็นมันเป็นแนวความคิดที่ฟังดูดีงามจากสถานการณ์ ณ ตอนนั้น แนวคิดดี ๆ นี้ก็ได้ถูกดำเนินต่อไป และออกมาเป็นสัญญาในปี 1992 ที่ผู้ชนะการประมูลเป็น BSkyB ไม่ใช่ ITV ของ Greg และทีมที่ทำประตูแรกของการแข่งขันนี้จะเป็นทีม Sheffield ที่ชนะทีม Man U ไป 2-1 ในการแข่งขัน Match แรกของ Premier League นี้

นอกจาก Premier League และ The FA Cup ที่อังกฤษยังมี EFL Cup หรือเรียกว่า League Cup หรือเรียกอีกอย่างว่า Carabao Cup ด้วยว่าเครื่องดื่มชูกำลังจากเมืองไทยที่มีพี่แอ๊ด คาราบาวเป็นหุ้นส่วน ได้เป็น Sponsor ให้กับการแข่งขัน EFL Cup นี้ EFL Cup เปิดโอกาสให้ Top 4 Levels ของ อังกฤษได้มีโอกาสแข่งขันกันโดยผู้ครองถ้วยปีนี้คือ Manchester City

ลอง zoom out ออกจาดูภาพกว้างขึ้น จะได้ว่าในหลาย ๆ ประเทศในยุโรปก็มีการแข่งขันฟุตบอลที่เป็น Top – Level ที่ถือเป็นหัวกะทิของประเทศตนเองเช่นกัน หน่วยงานที่ดูแล Top-Level ในยุโรปเหล่านี่มีชื่อว่า The Union of European Football Associations (UEFA) ที่มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 55 ประเทศ รวมถึงรัสเซียและประเทศในกลุ่มยุโรป แต่ละประเทศจะถูกจัดอันดับ “ความเก่ง”ที่จะมีผลต่อการเข้าร่วม UEFA Champion League (ชื่อเดิม ยูโรเปียนคัพ European Cup ก่อนปี 1992)

UEFA เองจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1954 และได้มีการจัดการแข่งขัน UEFA Champions League ขึ้นในปี 1955

จากประเทศหลัก ๆ ก็มี

  • Ligue 1 (หลีกเอิง) ของ ฝรั่งเศส ที่มีทีมอย่าง Paris Saint-Germain
  • Bundesliga (บูนเดสลีก้า) ของเยรมัน ที่มีทีมอย่าง Bayern Munich, Borussia Dortmund
  • Serie A (ซีรี่ เอ) ของอิตาลี่ ที่มีทีมอย่าง Juventus, Napoli, AC Milan, Roma
  • La Liga (ลาลีก้า) ของสเปน ที่มีทีมอย่าง Barcelona, Real Madrid, Valencia

UEFA Champions League มีกรรมวิธีในการคัดสรรทีมที่จะเข้าร่วมอย่างซับซ้อนทีมจากประเทศที่เก่ง ๆ ก็จะไปรอในรอบลึก ๆ ของการแข่งขัน การแข่งขันประมาณปลาเดือน มิถุนายน ของทุกปี และจบลงต้นเดือน มิถุนายน ของปีถัดไป โดยสรุปคือ ทีมที่ได้รางวัลนี้คือทีมที่เก่งที่สุดในยุโรป และในฤดูกาลที่ 2018/19 ทีมที่ชนะคือ Liverpool FC นับเป็นการได้ถ้วยรางวัลครั้งที่ 6 ของทีมนี้ แต่ทีมที่ได้รางวัลการแข่งขันนี้เยอะที่สุดคือ Real Madrid ที่ชนะถึง 13 ครั้ง

นอกจาก UEFA Champions League แล้วยังมี The UEFA Europa League ที่ย่อว่า UEL ที่อยู่ใต้การดูแลของ UEFA  ก่อนปี 2009 การแข่งขัน UEFA Europa League มีชื่อว่า UEFA Cup.

UEFA Europa League ถือเป็นการแขงขันที่รองลงมาจาก UEFA Champion League และทีมที่ไม่ได้ไป Campion League ก็จะได้มาเล่นที่ Europa League ซึ่งในปี 2018/19 ทีมที่ได้ชัยชนะของ UEFA Europa League คือ Chelsea FC